ขอแนะนำ เครื่องวัดความขุ่นแบบพกพาสำหรับการวัดน้ำดีและน้ำเสีย แบรนด์ WTW

คุณภาพของน้ำดื่ม น้ำใช้หลายคนจะคุ้นเคยกับการตรวจวัดด้วย ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ความกระด้างทั้งหมด (total hardness) ความเป็นด่าง (alkalinity) หรือคลอรีน (chlorine) แต่ยังมีอีกพารามิเตอร์หนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกันในการกำหนดคุณภาพน้ำดื่ม น้ำใช้ นั่นก็คือ ค่าความขุ่น (turbidity) นั่นเอง

ความขุ่นเกิดจากอะไร?
ความขุ่นเกิดจากสารแขวนลอยเช่น ดิน โคลน ทรายละเอียด สาหร่ายเซลล์เดียว สารเหล่านี้สามารถทำให้แสงเกิดการหักเห และอาจดูดแสงเอาไว้มิให้ผ่านทะลุไป จึงทำใหั
มองเห็นน้ำมีลักษณะขุ่น น้ำที่มีความขุ่นนอกจากทำให้รู้สึกไม่น่าใช้ หรือนำมาบริโภค อาจจะมีผลกระทบในอีกหลายๆด้าน เช่น
– มีลกระทบต่อระบบการกรองน้ำ ทำให้เกิดการอุดตันเร็ว สิ้นเปลืองในการเปลี่ยนอะไหล่
– ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีนในน้ำลดลง
– ความขุ่นทำให้เกิดการสังเคราะห์แสงเกิดได้ไม่เต็มที่ แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่าน ซึ่งมีความสำคัญในงานด้านการเพาะเลี้ยงสาหร่ายและสัตว์น้ำ

ตรวจวัดความขุ่นได้อย่างไร ?
การตรวจวัดความขุ่นสามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่ใช้กันมาก คือ การใช้เครื่องวัดความขุ่น (Nephelometer) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเปรียบเทียบความเข้มของแสงที่กระเจิงออกมาของตัวอย่างน้ำเทียบกับสารมาตรฐานภายใต้สภาวะที่กำหนด สารมาตรฐานที่นิยมใช้กันมาก คือ ฟอร์มาซีน (Formazin) ความเข้มของแสงที่กระเจิงออกมามากแสดงให้เห็นว่าตัวอย่างน้ำนั้นจะมีความขุ่นมาก

หน่วยวัดความขุ่น
– NTU : Nephelometric Turbidity Units อ้างอิงถึงมาตารฐาน USEPA Method 180.1 หรือStandard Methods For the Examination of Water and Wastewater
– FNU : Formazin Nephelometric Units นิยมใช้ในประเทศแถบยุโรป อ้างอิงถึงมาตรฐาน ISO 7027 (European) turbidity method
– FTU : Formazin Turbidity Unit
1 มิลลิกรัมของสารมาตรฐาน (formazin) ในน้ำ 1ลิตร = 1 NTU = 1 FNU = 1 FTU

การวัดความขุ่นของน้ำ สามารถตรวจวัดในห้องปฏิบัติการ หรือวัดในภาคสนามได้ทันที เครื่องมือที่ใช้วัดความขุ่นยี่ห้อ WTW ประเทศเยอรมนี มีทั้งชนิดใช้สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการและแบบพกพา สำหรับวันนี้ขอนำเสนอสินค้าเครื่องวัดความขุ่นแบบพกพา รุ่น Turb 430 และ Turb 355 สามารถดูรายละเอียดและความแตกต่างของเครื่องวัดความขุ่นทั้ง 2 รุ่นได้ ดังตารางที่ 1